พูดถึงธุรกิจประกันภัย (Insurance Business) จัดเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมสำคัญของโลก ด้วยข้อดีที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับผู้ซื้อประกันภัย ช่วยแบ่งเบาภาระ และเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิต หากเล่าแบบสั้น ๆ ย้อนไปในอดีตจากยุคเริ่มต้นที่นำเสนอกรมธรรม์ประกันภัยผ่านกระดาษโดยตัวแทนประกันภัยที่เดินทางเคาะถึงบ้าน ขยับมาเป็นการซื้อ-ขายประกันผ่านช่องทางออนไลน์ และเริ่มใช้เทคโนโลยีอินชัวร์เทค (InsurTech) มากขึ้น เห็นได้จาก “การส่งกรมธรรม์ออนไลน์ (E-Policy) แบบจ่ายเงินปุ๊บรับกรมธรรม์ทันใจ ตามยุคสมัยเทคโนโลยีที่ต้องการความรวดเร็วเป็นหลัก ! แบบยิ่งเร็วยิ่งดีซึ่งเป็นรากฐานแนวโน้มธุรกิจประกันภัยในอนาคต”
ถึงกระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับ InsurTech นี้เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น หยิบความเห็นจาก คปภ. ที่เคยวิเคราะห์ไว้ว่า ทิศทางลูกค้าประกันภัยปี ค.ศ.2020 ส่วนใหญ่จะเป็นเจนเนอเรชั่น Z คนที่เกิดหลังจากปี ค.ศ. 1995 เพราะคนกลุ่มนี้ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี โดยบริษัทประกันภัยจะต้องปรับตัวและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม สิ่งที่ลูกค้าต้องการ ได้แก่
ขณะเดียวกัน มุมมองของ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ประเมินว่า “เทคโนโลยีจะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าธุรกิจประกันภัย ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ ๆ ให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคดิจิทัล โดยเน้นที่การบริการที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่ายเหมาะสม และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที” ซึ่งนี่เป็นแนวโน้มธุรกิจประกันภัยในอนาคตที่ลูกค้ากำลังมองหาที่ธุรกิจประกันสามารถนำมาปรับใช้ได้ในปัจจุบัน เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงเบื้องต้นในธุรกิจประกันภัยได้เป็นอย่างดี
ธุรกิจประกันภัยในอนาคตยังกว้างไกลกว่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักวิเคราะห์ต่างมองว่า รถไร้คนขับและยานยนต์แห่งอนาคตจะมีความปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลให้การประเมินประกันรถยนต์อาจจะต้องพลิกโฉมใหม่ไปตาม ๆ กัน และเมื่อเกมตลาดประกันภัยเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ นอกจากประสบการณ์ซื้อขายประกันที่ต้องรวดเร็วไว้ก่อน เว็บไซต์บริษัทฯ ที่ปรึกษาด้านการบริหารชั้นนำของโลก McKinsey & Company Financial Sevices (อ่านว่า = แมคคินซีย์ แอนด์ คอมปะนี ไฟแนนซ์เชียล เซอร์วิส) มีสำนักงานใหญ่อยู่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา วิเคราะห์เทรนด์ไว้ว่า “Insurance 2030 - The impact of AI on the future of insurance” ในบทความบอก 4 แนวโน้มธุรกิจประกันภัยที่จะเกิดขึ้นในปี 2030 ดังนี้
ถามว่าทำไม ? เพราะในอนาคตบริการประกันภัยเน้น Internet of Thing (IoT) มากขึ้น เก็บข้อมูลจากทุกอย่างที่ใช้ในชีวิตประจำวันจากแก็ดเจ็ดอัจฉริยะทั้งหลายที่มีเซ็นเซอร์ เช่น รองเท้า, นาฬิกา และอื่น ๆ เพื่อมาวิเคราะห์การจัดจำหน่ายประกันที่ใช่ และเหมาะสมกับชีวิตประจำวัน พร้อมกับเสนอขายได้อย่างทันท่วงที พร้อมกับส่งมอบบริการได้แบบเรียลไทล์มากขึ้น เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2030
“ในปี 2030 ราคายังเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจของผู้ซื้อ แต่จะทำอย่างไรให้การแข่งขันทางราคาไม่ใช่เรื่องหลัก” และพร้อมกันนี้ คนจะมองหาการซื้อประกันจะซื้อเท่าที่จำเป็นกับการใช้ชีวิต หมายความว่า บริษัทฯ ประกันจะต้องมีผลิตภัณฑ์หลากหลายเฉพาะเจาะจง สามารถใช้ข้อมูลทางสุขภาพจะเจาะลึกมากขึ้นและมีข้อมูลสุขภาพที่ระบุถึงพันธุกรรมของผู้คนด้วย ช่างเป็นอะไรที่ลึกซึ้ง
เมื่อรถยนต์ยุคใหม่พัฒนามากขึ้นโดยเฉพาะการเพิ่มความสามารถให้ปลอดภัยมากขึ้น แน่นอนว่า การเคลมประกันภัยรถยนต์ก็ (น่าจะ) น้อยลงตามไปด้วย พร้อมกันนี้การเบิกเคลมก็จะง่ายและเร็วขึ้นกว่าที่เคย ด้วยระบบ IoT พร้อมกับมีระบบโต้ตอบอัตโนมัติ AI เข้ามาดูแลผู้ซื้อประกันมากขึ้น และ AI ยังเข้ามาจัดการดูแลกรณีฉุกเฉินตลอดเวลา 24 ชั่วโมง แบบไม่มีวันหยุด ไม่หยุดพักใด ๆ
อ้างอิงบทความ Insurance 2030 - The impact of AI on the future of insurance เนื้อหาในบทความระบุว่า “AI’s underlying technologies are already being deployed in our businesses, homes, and vehicles, as well as on our person, will reshape the insurance industry over the next decade.”
สรุปคร่าว ๆ หมายความว่า เทคโนโลยี AI จะถูกใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะขั้นตอนการนำข้อมูล (Database) มาวิเคราะห์ประกันภัยให้ง่ายขึ้น มาช่วยวิเคราะห์ตลาด ราคาเบี้ย และประกันให้กับลูกค้า เอาเป็นว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่มนุษย์ต้องทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น กลายเป็นทีมงานใหม่ที่เกิดขึ้นและมีประสิทธิภาพในการทำงาน นี่ก็เป็นพยากรณ์แนวโน้มธุรกิจประกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการวิเคราะห์คร่าว ๆ ที่เกิดกับธุรกิจนี้เท่านั้น แล้วคุณละคิดเห็นแบบไหน ? บอกเล่ากันได้นะ