เรื่องของความล้ำหน้าด้านยานยนต์ตอนนี้เหมือนเป็นเรื่องใกล้ตัวเราไปทุกๆ ทีแล้วนะครับ ทั้งในเรื่องของรถที่ขับเคลี่อนด้วยตัวเอง หรือจะเป็นรถพลังงานทางเลือกต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม frank เลยอยากสรุปให้เพื่อนๆ ฟังฮะ ว่าของเจ้านวัตกรรมตัวเป็นๆ ที่กำลังจะวางตลาดในปีนี้นั้น มีอะไรกันบ้าง ล้ำหน้าแค่ไหน ไปดูกันดีกว่าครับ
เรื่องของเจ้าพวงมาลัยอัฉริยะที่ว่านี้เป็นแผนพัฒนาของ Nissan ที่เรากำลังจะได้เห็นกันในปีนี้แล้วนะครับ เท่าที่ frank รู้มาทั้งคอนโซลหรือแผงควบคุมด้านหน้ารถจะเปลี่ยนรูปแบบจากการขับขี่ด้วยพวงมาลัยปกติ (ถึงรูปร่างของพวงมาลัยจะดูล้ำหน้ากว่าปกติไปมากแล้วก็ตาม) กลายร่างเป็นแผงควบคุมด้วยระบบสัมผัสแบบเต็มรูปแบบกันเลย
ส่วนพวงมาลัยเองก็จะกลายร่างเป็นหุ่นยนต์ที่ช่วยควบคุมการขับเคลื่อนแบบอันโนมัติเต็มรูปแบบ ว้าว..นึกว่าเรากำลังขับยานอวกาศอยู่ซะอีกนะครับ ซึ่งเราน่าจะเห็นการตกแต่งของรถยนต์แห่งอนาคตที่ว่านี้กันในปี 2020 ที่รถขับเคลื่อนอัตโนมัติเริ่มวางตลาดกันอย่างจริงจัง
คงเคยได้ยินบทความที่พูดถึงความเครียดกันมาบ้างแล้วนะครับ ที่นอกจากเป็นสาเหตุของสารพัดโรค หรืออาจเป็นสาเหตุให้เราง่วงนอน และหลับในได้อย่างที่เราคาดไม่ถึงด้วยเลย เพราะงั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เซนเซอร์ใต้ที่นั่งของรถเราตรวจพบว่า อ้าว..คุณกำลังเครียดอยู่นี่นา คุณควรต้องเปลี่ยนอิริยาบทบ้างเพื่อคลายความเครียดซะ ก็จะมีสัญญาณเตือนปรากฎขึ้นที่แผงควบคุม
เจ้าสิ่งประดิษฐ์ที่ว่านี้เกิดจากความร่วมมือของบริษัทผู้ผลิต Faurecia และศูนย์วิจัยการออกแบบมหาวิทยาลัย Stanford (Faurecia and Stanford University's Center for Design Research) ซึ่งก็คือ เบาะรถยนต์ตรวจจับสุขภาพ (The Active Wellness seat) นั่นเอง ความล้ำเลิศของมันยังสามารถตรวจสอบการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจเพื่อให้มั่นใจว่า คุณยังไม่ง่วงนอนและยังสามารถขับรถต่อไปได้โดยไม่เกิดอันตราย ซึ่งนั่นหมายความว่าเมื่อรถยนต์เข้าสู่ยุคของการขับเคลื่อนแบบกึ่งอัตโนมัติแล้วคุณเกิดขับรถไปแล้วเกิดง่วงขึ้นมา รับรองว่าจะมีคนช่วยปลุกคุณได้นั่นเอง
ในอนาคตอันใกล้นี้เราคงจะเจอเจ้า Mobileye ที่มีรูปร่างเหมือนกล้องส่องทางไกลขนาดใหญ่ติดอยู่ที่หน้ารถแทนที่แผงควบคุมหน้ารถยนต์กันนะฮะ แต่เราไม่ได้เอาไว้ส่องทางหรือส่องสาวแต่อย่างไร
Mobileye จะกลายเป็นเหมือนเซนเซอร์ที่ช่วยตรวจจับวัตถุที่อยู่รอบๆ รถของเรารวมถึงประมวลผลการเคลื่อนที่ที่เหมาะสมที่สุดเช่นเมื่อเราขับคล่อมเลนส์คนอื่น หรือแม้กระทั่งส่งสัญญาณเตือนเมื่อเราเกิดง่วงขึ้นมา หรือกำหนดความเร็วที่เหมาะสมหรือแม้กระทั่งอ่านสัญญาณไฟจราจรให้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุให้กับเราและคนเดินถนน ซึ่งนั่นทำให้เราไม่ต้องกังวลใจเรื่องของความปลอดภัยของรถยนต์ไร้คนขับกันอีกต่อปาย...ย
ลองนึกภาพตามนะครับ เมื่อการเดินทางของเรามีรายละเอียดต่างๆ ปรากฏขึ้นบนกระจกหน้ารถแบบเลียลไทม์เลย นอกจากที่จะทำให้เราไม่ต้องละสายตาจากถนนแล้ว เรายังเห็นภาพจริงซ้อนทับกับ Holographic เหมือนการขับขี่ยานอวกาศในหนัง Sifi อย่างไรอย่างนั้น มันจะทำให้การขับขี่จะกลายเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้นขนาดไหนกัน (เหมือนกำลังเล่นเกมส์เลยนะฮะ)
ซึ่งต้องขอบคุณบริษัท WayRay ที่สร้าง Navion ขึ้นมาที่เฉพาะคนขับเท่านั้นที่จะมองเห็นเจ้าภาพ Holographic ที่ว่านี้และจะทำให้การขับรถตอนกลางคืนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งนั่นทำให้เราคาดการณ์กันว่าในอนาคตอันใกล้นี้การเพิ่มรายละเอียดลงในภาพจริงจะกลายเป็นเรื่องปกติของการขับขี่ไปซะ
ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์อีกแล้วนะครับ รถพลังงาน Hydrogen ได้ถูกผลิตขึ้นจริงแล้วโดย Toyota’s Mirai ที่ California ในอเมริกาในชื่อรุ่นว่า FCV Plus และในปีหน้าก็คาดการณ์ไว้ว่าจะมีเจ้ารถสุดเจ๋งที่ว่านี้ประมาณ 3,000 คันวิ่งอยู่ในอเมริกาซะด้วย หรือแม้แต่รถยนต์ที่ใช้น้ำเป็นเชื้อเพลิงในอิสารเอลที่สามารถใช้ได้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและ Hydrogen ในคันเดียวกันที่ได้มีการเปิดตัวไปแล้วด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่ารถยนต์พลังงาน Hydrogen จะยังไม่ได้รับการผลิตอย่างแพร่หลายแต่ก็แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการตระหนักอย่างจริงจังเรื่องของพลังงานทางเลือกและเรากำลังจะก้าวไปสู่อนาคตกันแล้วนะฮะ
ไม่ทำให้แฟนของ Super Car ผิดหวังอย่างแน่นอนกับ Porsche ที่ในอีก 5 ปีข้างหน้าเราจะสามารถใช้แผงการควบคุม Holographic ได้อย่างเต็มรูปแบบได้ในรุ่น Mission E โดยเพียงแค่กดปุ่มจากแผงควบคุมเพื่อทำความเร็วที่ 250 ไมล์ภายใน 15 นาทีได้ ซึ่งนั่นจะทำให้เราเปิดมุมมองเรื่องของการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ หรือกล้าที่จะเปิดรับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่ท้าทายมากขึ้นอีกด้วย
ข้อนี้เป็นจริงแล้วนะฮะ เป็นทอร์กออฟเดอะทาวน์กันอยู่พักนึงเลยซึ่ง BMW เป็นเจ้าแรกที่ทำให้เราจุดประกายเรื่องของนวัตกรรมรถยนต์แห่งอนาคตที่แม้แต่กุญแจรถยังสามารถควบคุมการทำงานของรถได้เกือบครบทุกอย่าง ถ้ามองผ่านๆ ยังคิดว่าเป็นสมาร์ทวอทช์ซะอีกนะครับ
ส่วนการชาร์ตก็ต้องแน่นอนว่าเป็นแบบไร้สายกันแล้วล่ะฮะ ทำให้เรารู้ว่าการควบคุมรถแห่งอนาคตนั้นเราทำจากตรงไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องนั่งในรถเท่านั้นอีกต่อไป อิรภาพของการขับขี่อย่างแท้จริง!
ก่อนหน้านี้ frankเคยไปทดลองขับ Ford ที่มีนวัตกรรมช่วยในการจอดรถ แต่เรายังคงต้องจับพวงมาลัยและเหยียบคันเร่งเองอยู่ ซึ่งตอนนั้นก็น่าประทับใจมากสำหรับคนที่จอดรถไม่เก่งอ่ะนะฮะ แหะๆๆ
แต่แล้วความฝันของ frank ก็ได้กลายเป็นจริงแล้ว! เมื่อรถขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Mitsubishi สามารถจอดรถให้เราได้เลยโดยเฉพาะในเมืองที่การหาที่จอดรถนั้นช่างยากเย็น หรือบางทีเราเจอแต่ที่แคบๆ ที่ทำให้เสียเวลามากขึ้นกว่าจะถอยจอดได้ซะที อีกหน่อยเราแค่ไปถึงที่หมาย สั่งให้รถจอดด้วยตัวมันเอง แล้วเราก็เดินไปทำธุระได้อย่างสบายใจไม่ต้องเสียเวลาจอดรถกันอีกแล้วล่ะครับ
นอกจากระบบการขับขี่อัตโนมัติที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบแล้ว จากการที่ Tesla ได้ออกซอฟแวร์ใหม่ในปีนี้ ทำให้ระบบการขับขี่อัตโนมัติเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก ความเจ๋งของเจ้ารถคันที่ว่านี้นอกจากการจอดรถด้วยตัวเอง เรียกรถมารับเราได้ถึงที่ หรือแม้แต่การเปลี่ยนเลนส์แบบปลอดภัยแล้ว ยังเพิ่มเรื่องของการเตือนการชนด้านข้างของรถเข้าไปด้วย ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความปลอดภัยและความสะดวกในการอัพเดทเวอร์ชั่นของซอฟแวร์ควบคุมด้วยการแจ้งเตือนเหมือนในโทรศัพท์มือถือซะอีกด้วยนะครับ
จากความล้ำหน้าของรถยนต์แห่งอนาคตที่เล่าให้ฟังนั้น นอกจากช่วยให้เรากล้าที่จะคิดอะไรใหม่ๆ หรือแม้แต่กล้าที่จะสร้างนวัตกรรมแล้ว เรายังมองเผื่ออนาคตในเรื่องของความปลอดภัยในการขับขี่ได้ด้วย เช่น ถ้าจะเริ่มจากการขับขี่แบบกึ่งอัตโนมัติซึ่งก็คือ รถยนต์จะควบคุมตัวเองในช่วงที่รถติด หรือช่วยเราในขณะจอดรถแล้วล่ะก็เรายังคงต้องประคองพวงมาลัยไว้ก่อน เพราะงั้นการทำประกันรถยนต์ก็ต้องคลอบคลุมในช่วงที่ว่านี้ด้วย และเมื่อเราเข้าสู่การขับขี่แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบการประกันรถก็น่าจะมีเบี้ยที่ถูกลงมากเพราะอัตราการเกิดอุบัติเหตุก็น่าจะลดลงด้วยเช่นกันครับ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนวัตกรรมล้ำๆ ได้ที่นี่เลยนะครับ