หลายคนมีความฝันอยากไปเที่ยวประเทศอังกฤษ ไปเยือนบ้านเกิดของนักสืบ เชอร์ล็อก โฮลม์ นั่งชิงช้าสวรรค์ London Eye หรือไปดูหอนาฬิกา Big Ben แต่หลังจากข่าวที่สหราชอณาจักรจะแยกออกจากสหภาพยุโรป หรือ Brexit (เบร็กซิท) ที่สำเร็จแล้วเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 ทำให้นักท่องเที่ยวหรือใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวอังกฤษกังวลว่า เบร็กซิท จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อการท่องเที่ยวอังกฤษหรือไม่ วันนี้ แฟรงค์ได้สรุปมาให้คุณเข้าใจง่ายแล้ว ผลกระทบของ Brexit 4 ข้อที่ทำให้ไปเที่ยวอังกฤษอาจไม่ง่ายเหมือนเดิม
Brexit คือ ข้อตกลงที่ประเทศในสหราชอาณาจักร ทั้ง 4 ประเทศ ( อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ไอร์แลนด์เหนือ ) จะขอแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ EU โดยความคิดที่จะแยกตัวออกจาก EU นี้มีมานานแล้วครับ แต่เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อช่วงปี 2016 ที่มีการทำประชามติโดยให้ประชาชนจากทั้ง 4 ประเทศลงความเห็นว่าจะ สหราชอาณาจักร จะออก หรือ ไม่ออก ซึ่งในครั้งนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ลงมติว่า “ไม่ออก”
แต่เมื่อผ่านมา ในปี 2019 หลังจาก บอริส จอห์นสัน ที่ชูนโยบายพาสหราชอาณาจักรออกจาก EU หรือ เบร็กซิทชนะการเลือกตั้งทั่วไปและได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษด้วยเสียงท่วมท้น ทำให้เสียงโหวตในสภาออกมาว่า สหราชอาณาจักรจะออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มกราคม 2563
แม้ Brexit จะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งวันที่ 31 ธันวาคม 2563 นี้ แต่แน่นอนว่า เมื่อเบร็กซิทเกิดขึ้นแล้วย่อมส่งผลกระทบในด้านต่างๆ ตามมาอย่างแน่นอน รวมถึงด้าน “การท่องเที่ยว” เพราะทั้ง 4 ประเทศในสหราชอาณาจักรล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่โด่งดังและเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะ อังกฤษ แต่ Brexit ส่งผลกระทบต่อการเที่ยวอังกฤษอย่างไร มาดูกันครับ
ก่อน Brexit นั้น ประเทศสหภาพยุโรปได้ร่วมกันลงข้อตกลง Open Skies ที่ช่วยเพิ่มจำนวนสายการบินเส้นทางการบิน รวมทั้งตั๋วเครื่องบินราคาต่ำระหว่างประเทศในสหภาพยุโรปด้วยกัน ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่กันในยุโรปนั้นง่ายดาย แต่เมื่ออังกฤษออกจาก EU เท่ากับว่าออกจากข้อตกลง Open Skies นี้ด้วย ทำให้เกิดข้อจำกัดต่างๆ มากมาย การบินไปอังกฤษจะยากขึ้น มีขั้นตอนมากขึ้น เส้นทางน้อยลงและสิ่งที่ตามมาก็คือ “ค่าตั๋วเครื่องบินแพงขึ้น” นั่นเองครับ ใครที่วางแผนจะทัวร์ยุโรปหลายๆ ประเทศในทริปเดียว อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น หรือต้องตัดอังกฤษออกจากแพลนไปก่อนเลย
แม้เบร็กซิทอาจจะส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงอย่างมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยและประเทศอื่นๆ ที่อยากไปเที่ยวอังกฤษ เพราะทำให้เราแลกเงินปอนด์ได้มากขึ้น แต่นั่นก็ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากเดินทางมาเที่ยวประเทศอังกฤษมากขึ้นด้วย เมื่อนักท่องเที่ยวมากขึ้น แต่ที่พักมีเท่าเดิม ส่งผลให้ “ค่าโรงแรมแพงขึ้น” นั่นเองครับ
อย่างที่ทราบกันว่า ประเทศอังกฤษเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวหลายสิบล้านคนเดินทางไปยังเมืองผู้ดีแห่งนี้ ทำให้ที่ ต.ม. ที่สนามบินของประเทศอังกฤษนั้นคลาคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วโลก ซึ่งแต่เดิม ประเทศอังกฤษมี “Fast Track” หรือช่องตรวจพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีสัญชาติประเทศใน EU เพื่ออำนวยความสะดวกและเร่งระบายนักท่องเที่ยว ซึ่งหาก Brexit บังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ “Fast Track” ที่เคยมีอาจจะหายไป และนักท่องเที่ยวจาก EU ก็จะต้องมาต่อแถวเดียวกับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งเพิ่มระยะเวลาในการตรวจเข้าประเทศขึ้นอีกมากเลยครับ
ฟังดูเป็นเรื่องดีของประเทศอังกฤษนะครับ ที่มีนักท่องเที่ยวมากมายตลอดทั้งปี นั่นก็มาจากการที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงทำให้นักท่องเที่ยวหลายประเทศแห่แหนกันมาเที่ยวประเทศอังกฤษ จนทำให้ทั้งปีกลายเป็น “High Season” แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย นั่นหมายความว่าค่าใช้จ่ายในการเที่ยวอังกฤษแพงขึ้น ราคาช่วง Low Season ที่น่าจะถูกกลับแพงขึ้น ส่วนช่วงที่แพงอยู่แล้ว ก็แพงขึ้นไปอีก ทั้งค่าที่พักที่พูดไปแล้ว ค่าตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆ ค่าโดยสาร บลาๆ แถมถ้าใครได้ไปแล้ว ต้องไปเจอกับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลอีกต่างหาก แบบนี้ก็เริ่มคิดหนักแล้วใช่ไหมครับ
และนี่ก็คือ 4 ข้อที่ Brexit ทำให้การไปเที่ยวอังกฤษอาจไม่ง่ายเหมือนเดิม แต่ก็ใช่ว่าทุกข้อที่แฟรงค์กล่าวไปจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้นะครับ เพราะช่วงนี้ บอริส จอห์นสัน นายกอังกฤษก็กำลังเร่งทำการเจรจากับทาง EU และประเทศอื่นๆ เพื่อให้การออกจากสหภาพยุโรปนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเราในฐานะนักท่องเที่ยวต้องเตรียมตัวไว้ก่อน เหมือนกับการซื้อประกันเดินทางจากแฟรงค์ www.frank.co.th/ประกันการเดินทาง ที่พร้อมทำให้คุณอุ่นใจในทุกการเดินทาง เบี้ยหลักร้อย คุ้มครองหลักล้าน ใครจะไปอังกฤษต้องติดประกันเดินทางไว้เลยนะครับ