ถึงแม้ว่าเราจะขับรถเก่งมากแค่ไหน การเคารพกฎจราจรและมารยาทในการขับขี่ ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ ทั้งช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวเราและผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน เชื่อว่าหลายคนยังคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับพฤติกรรมในการขับรถอยู่ บางสถานการณ์มันกลายเป็นความเคยชินไปซะแล้ว ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ต้องหยุดพฤติกรรมเสี่ยงขับรถแบบนี้ก่อน!!
ในช่วงเวลาที่รถติด บางคนก็ชอบเล่นมือถือแก้เบื่อ หรือใช้โทรศัพท์คุยงานขณะขับรถไปด้วย แต่ต้องบอกเลยว่า การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่มีโอกาสเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน มากกว่าเมาแล้วขับถึง 4 เท่า!! เนื่องจากการพูดคุยโทรศัพท์จะทำให้ตัวคุณเสียสมาธิระหว่างการขับรถ และอาจจับถือพวงมาลัยไม่ถนัด แล้วผู้ขับขี่ควรตั้งใจมองดูเส้นทางขณะขับรถ ไม่ควรเล่นเกมส์ ดูหนัง แชทคุย หรือโทรคุย แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มือถือ แนะนำให้จอดรถในที่ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยใช้งานมือถือ
ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 หากฝ่าฝืนกฎจะถูกปรับ 400-1,000 บาท แนะนำใช้เป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้เกี่ยวกับโทรศัพท์แทน เช่น หูฟัง อุปกรณ์ที่วางตั้งโทรศัพท์ ช่วยให้ขับขี่ได้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
เนื่องจากพ.ร.บ.จราจรทางบกกำหนดไว้ว่า “ห้ามผู้ขับขี่ดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับรถทุกชนิด” แต่ยังพบสถิติจำนวนผู้ขับขี่เมาแล้วขับอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ มักเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์และมอเตอร์ไซค์มากที่สุด ทางกฎหมายจึงมีมาตรการเข้มงวดกรณีเมาแล้วขับ หากผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎและพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น จะมีลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท หรือโทษทั้งจำทั้งปรับ หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่
อ่านเพิ่มเติม : เจอคู่กรณีเมาแล้วขับ งานนี้ประกันจะช่วยเหลือยังไง
ถึงแม้คุณจะเผลอหลับใน 3-5 วินาที ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด อันตรายใกล้เคียงกรณีเมาแล้วขับเลย เพราะเราจะไม่รับรู้สติ ยิ่งถ้าคุณขับรถมาด้วยความเร็วเกินกว่า 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อาจส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมการเบรกหรือการทรงตัวได้ทันเมื่อโดนชน แล้วไม่ใช่แค่เป็นอันตรายต่อตัวเองอย่างเดียว แต่ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย
ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกง่วงนอน รู้สึกเหนื่อยล้า แนะนำให้จอดรถในจุดพักรถที่ปลอดภัย เพื่อแวะนอนงีบก่อน หรือจะลองดื่มกาแฟ ล้างหน้าล้างตาสักหน่อย สามารถช่วยให้คุณหายง่วงได้
หากใครที่มีพฤติกรรมชอบขับรถคร่อมเลน ไม่เลือกไปทางซ้ายหรือทางขวาสักเลน ระวังจะเกิดอุบัติเหตุโดยไม่รู้ตัว ตามพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดไว้ว่า การขับรถคร่อมเลนหรือทับเส้นทึบแนวแบ่งช่องรถ โดยไม่ได้เปลี่ยนช่องเดินรถ เลี้ยวรถ หรือกลับรถนั้น จะมีโทษปรับอยู่ที่ 400 - 1,000 บาท ในปัจุบันนี้มีกล้องคอยตรวจจับถนนทุกเส้นทาง ถ้าคุณไม่อยากเสียค่าปรับฟรีๆ อย่าลืมเคารพกฎจราจรกันนะจ๊ะ
เพื่อนๆ สามารถอ่าน ข้อสอบใบขับขี่ 2566 สำหรับรถยนต์และมอไซค์ เพิ่มเติม มีสัญลักษณ์ป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร พร้อมวิธีการขับรถให้ปลอดภัย
ถึงแม้ว่าคุณจะเร่งรีบมากแค่ไหน ก็ไม่ควรแซงหน้ารถคันอื่น โดยเฉพาะการขับรถแบบกระชั้นชิด เนื่องจากการขับรถแซงคนอื่นแบบกระชั้นชิด จะเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย มีหลายคนที่ชอบจะเอาเปรียบผู้ร่วมทางอยู่เสมอโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น เมื่อเกิดอุบัติเหตุบนื้องถนนก็ต้องเสียเวลาเคลมอีก ดังนั้นหากผู้ขับขี่ต้องการจะเลี้ยวหรือแซงหน้ารถคันอื่นควรชะลอความเร็วก่อน พร้อมเดินรถไปข้างหน้าให้ห่างกับรถคันที่ต้องการแซงอย่างปลอดภัย แล้วอย่าลืมใช้สัญญาณไฟกระพริบเลี้ยวล่วงหน้า เพื่อส่งสัญญาณให้คันหลังรู้ตัวด้วยว่าคุณกำลังจะเปลี่ยนเลน
อีกกฎหมายจราจรที่ฝ่าฝืนบ่อยๆ นั่นก็คือ การเปลี่ยนเลนโดยไม่ได้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ถือเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนจะต้องรู้ไว้ เพราะกฎการเปลี่ยนช่องเดินรถเคยออกข้อสอบใบขับขี่มาแล้วว่า ถ้าผู้ขับขี่ต้องการเข้าช่องเดินรถด้านซ้ายก่อนถึงทางเลี้ยวจะต้องชะลอความเร็ว และเปิดไฟเลี้ยวก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตรทุกครั้ง ช่วยกะเวลาให้รถสามารถเลี้ยวไปได้ และช่วยส่งสัญญาณให้รถคันอื่นเตรียมชะลอรถให้เรา
การเจอสัญญาณไฟเหลือง หมายถึงให้ผู้ขับขี่เตรียมตัวที่ชะลอเพื่อหยุดรถ (หลังเส้นหยุดรถ) แต่หลายคนเข้าใจผิดว่าการเห็นสัญญาณไฟเหลืองกระพริบ ควรเร่งความเร็วผ่านแยกไฟแดง หรือบางคนก็กลัวเสียเวลารถติดนานก็เลยเหยียบคันเร่งจนมิดไปซะเลย แต่ทราบไหมว่า? การฝ่าไฟเหลืองนั้นถือว่าผิดกฎหมายจราจรเช่นเดียวกับฝ่าไฟเเดง เพราะมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันได้ หากใครฝ่าฝืนกฎจะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท เว้นแต่กรณีที่คุณขับรถเลยเส้นบังคับหยุดรถไปก่อนไฟเหลืองจะกระพริบ
มารยาทในการขับรถ เป็นสิ่งสำคัญของการใช้ถนนร่วมกัน แต่คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในสถานการณ์เร่งรีบจะชอบจี้ท้ายไล่รถคันหน้า ลองคิดเล่นๆ กันดูนะว่า หากรถคันข้างหน้าเบรกกะทันหัน เราก็ไม่สามารถเบรกได้ทันอยู่ดี อีกอย่างคือเวลาเกิดอุบัติเหตุเมื่อเคลมประกัน รถที่ชนท้ายคันข้างหน้ามักจะเป็นฝ่ายผิดเสมอด้วย ดังนั้นผู้ขับขี่จะต้องขับรถเว้นระยะห่างจากคันข้างหน้าไม่น้อยกว่า 60 เมตร หรืออยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัยไว้ก่อน
แต่อย่าทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้ามากจนเกินไป อาจส่งผลให้การจราจรติดขัด เพื่อป้องกันไม่ให้รถคันอื่นเข้ามาเเซงด้วย
การเปิดไฟสูงจะช่วยทำให้การมองเห็นเส้นทางได้ดีขึ้น แต่ในบางสถานการณ์การเปิดไฟสูงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำหากไม่จำเป็น ยกตัวอย่างดังนี้
เมื่ออยู่ในเหตุการณ์ที่ขับรถเจอหมอกหนาๆ หรือฝนตกหนัก แนะนำให้ใช้ไฟหน้ารถธรรมดาและเปิดไฟตัดหมอกควบคู่กันดีกว่า การเปิดไฟสูงควรใช้เฉพาะอยู่ในเขตนอกเมืองที่ไม่มีรถสวนทางมา หรือถ้ามีรถสวนทางมาก็ให้เปลี่ยนเปิดไฟหน้ารถตามปกติ และไม่ควรเสียมารยาทด้วยการเปิดไฟสูงเพื่อไล่รถคันที่อยู่ข้างหน้า
อ่านเพิ่มเติม : ไฟหน้ารถ ไฟหรี่ ไฟสูงและไฟท้ายใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
“การจอดรถในบริเวณที่ห้ามจอด” เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากบริเวณที่ห้ามจอดไม่ใช่ที่สำหรับจอดรถเฉพาะทาง บางคนที่เคยจอดรถทิ้งไว้มักถูกเฉี่ยวชนบ่อย บางคนพบรอยขูดขีดไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนทำ และการจอดรถในที่ห้ามจอดอาจทำให้การจราจรติดขัดด้วย ทางที่ดีให้เราสังเกตป้ายหรือพื้นทางก่อนว่าอนุญาตให้จอดรถหรือไม่ หากใครฝ่าฝืนจอดรถในบริเวณที่ห้ามจอดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 500 บาท
หมายเหตุ : เครื่องหมายห้ามหยุดรถ จะมีลักษณะแถบสีแดงสลับสีขาว หมายความว่า ห้ามหยุดห้ามจอดรถทุกชนิด
ทั้งหมดนี้คือ 10 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุที่ไม่ควรทำขณะขับรถ สิ่งสำคัญคุณควรเคารพกฎจรารและมีมารยาทในการขับขี่ เพราะทุกคนต่างใช้รถใช้ถนนร่วมกัน เราต้องคำนึงถึงเพื่อนร่วมทางด้วย เช่น แสดงน้ำใจร่วมกัน ไม่ควรเร่งเครื่องขณะมีคนข้ามทางม้าลาย แสดงคำขอบคุณ และขอโทษต่อเพื่อนร่วมทางหากเราทำผิด ถึงแม้จะฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สามารถสร้างความรู้สึกดีๆ บนท้องถนนได้
สุดท้ายนี้เพื่อนๆ อย่าลืมเตรียม ต่อประกันรถยนต์ กับ bolttech.co.th ที่คุ้มครองรถของคุณจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุรถชนกัน รถหาย รถไฟไหม้ ภัยธรรมชาติ และความคุ้มครองเสริมอื่นๆ เรามีให้บริการครบวงจรตามที่คุณต้องการ พร้อมให้คำแนะนำเลือกซื้อแผนประกันภัยที่เหมาะสมกับคุณ มั่นใจในการขับขี่มากขึ้น