อ่านเร็วๆ
Frank ไปเจอเหตุการณ์ระทึกขวัญมาครับ เรื่องมันมีอยู่ว่าล่าสุด Frank ขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาและได้เห็นกับตาว่ารถคันที่ขับอยู่ข้างหน้าเกิดยางระเบิด เสียงบึ้ม...ดังมาก พร้อมกับเศษยางกระจัดกระจายเต็มถนนไปหมด แล้วรถคันหน้าก็เริ่มส่ายไปมาในความเร็วเกือบ 140 ก.ม./ชม. โอ้โห...ตอนนั้นคือคิดว่านี่เรามีประกันชีวิต หรือต่อประกันรถยนต์แล้วใช่ไหม?
เห็นแบบนั้น Frank ตาสว่างเลยครับ รีบเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว แล้วค่อยๆ ชะลอความเร็วของรถเพื่อจอดชิดขอบทาง แต่โชคดีที่คนขับรถคันนั้นเผื่อระยะห่างจากรถคันหน้าค่อนข้างไกล เลยไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก จากเหตุการณ์นี้ Frank ก็เลยไปช่วยเขาเปลี่ยนยางครับ เท่าที่ดูรถก็เสียหายเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะล้อไถลตามถนนไกลพอสมควร
จากกรณีนี้เลยทำให้ Frank รู้ว่า ทักษะในการเอาตัวรอดเมื่อยางระเบิด ก็ถือเป็นสิ่งที่โรงเรียนสอนขับรถไม่ได้สอน และเรารู้ก็ต้องมาเรียนรู้เอาเอง แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริง จะต้องทำยังไงล่ะ? ลองมาดูวิธีเอาตัวรอดกันครับ
เริ่มจากยางรถยนต์ก่อนเลยครับ เมื่อเราขับรถไปสักระยะ อาจจะทำให้ยางของรถไปครูดกับขอบถนนหรือตามขอบท่อต่างๆ ทำให้เกิดอาการ “ยางบวม” ได้ ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดขึ้นบริเวณแก้มยาง (ตรงที่มีโลโก้ยี่ห้อยางนั่นล่ะครับ) ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งด้านในและด้านนอกเป็นบริเวณที่บางที่สุดทำให้ยางระเบิดได้ จึงเป็นสาเหตุที่เราควรไปสลับยางถ่วงล้อ เพื่อจะได้ตรวจสอบไปในตัวไงครับ
ส่วนการ “แตกลายงาของยาง” นั้น อาจจะเกิดได้จากทั้งสภาพของยางที่ใกล้หมดอายุ เนื่องจากใช้งานมานานหรือยางเปอร์เซ็นต์ที่เราเลือกใช้เป็นยางที่ใกล้หมดอายุนั่นเอง
โดยปกติแล้วเราควรเช็กลมยางสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ยกเว้นถ้าเติมลมไนโตรเจนก็จะเป็นเดือนละ 1 ครั้งได้ และสาเหตุที่ทำยางระเบิดนั้นเกิดจากลมยางที่อ่อนเกินไป ซึ่งนอกจากจะเปลืองน้ำมันแล้ว เวลาที่รถวิ่งเป็นระยะเวลานานๆ อาจจะเกิดความร้อนจนบริเวณแก้มยางนั้นฉีกขาด จึงกลายเป็นสาเหตุทำให้ยางระเบิดครับ
สำหรับน้ำหนักบนรถที่บรรทุกมากเกินไปจนยางรับไม่ไหว อาจส่งผลให้ยางระเบิดขึ้นได้ ซึ่งชิ้นส่วนของยางที่เราเห็นตามท้องถนนนั้น มักมาจากยางของรถบรรทุกที่ระเบิดนั่นเอง ให้เราลองสังเกตนะครับ หากเป็นรถบรรทุกที่ดีจะมีล้อรถบรรทุกเป็นแบบล้อคู่ อันนี้จะออกแบบมาเพื่อป้องกันเหตุการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว
ความมีสติเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็มีความสำคัญมาก
ยิ่งเราขับรถเร็วมากเท่าไหร่ ก็ทำให้ความร้อนของยางสูงขึ้นตามไปด้วย และเมื่อเกิดยางระเบิดขึ้นที่ความเร็วสูง ก็มีโอกาสเสียหลักในการควบคุมรถ ขอบอกเลยว่า อันตรายมากๆ ครับ
หากมีสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่อยู่บนพื้นถนน สมมติว่าเราเกิดโชคร้าย ขับรถไปเหยียบตะปูเข้าให้ ก็จะส่งผลให้แรงวิ่งและน้ำหนักของรถไปกดทับ อาจทำให้ยางรถเกิดความเสียหายรุนแรง ถึงขั้นยางระเบิดได้เลยเหมือนกันครับ
เมื่อเกิดเสียงดังบึ้ม....ขึ้นมาพร้อมรถที่กระตุกอย่างรุนแรงนั้น โปรดตั้งสติให้มั่น!! แล้วรีบทำตามนี้เลย
เพราะรถจะเสียหลักการทรงตัวไปมา โดยเราต้องประคองรถให้มั่น ไม่แกว่งไปมาครับ มิเช่นนั้นอาจจะขับไปชนกับเลนข้างเคียงได้
อย่าเหยียบเบรกหรือใช้เบรกมือโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถหมุน ค่อยๆ ปล่อยให้ความเร็วของรถลดลงในขณะที่เราประคองพวงมาลัยมั่นไว้ด้วย
การเหยียบเบรกซ้ำๆ เบาๆ ก็เพื่อป้องกันรถหมุนนั่นเองครับ ขอเตือน!! ห้ามใช้เบรกมือหรือเหยียบครัชโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันรถหมุนและควมคุมรถไม่ได้ หลังจากนั้นให้เปิดไฟเลี้ยวขอทางสำหรับนำรถไปจอด พร้อมเปลี่ยนเกียร์ต่ำให้ปลอดภัยที่สุด
เมื่อเราผ่านวิกฤตยางระเบิดมาได้แล้ว ต่อมาก็สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้หายตกใจก่อนครับ แล้วค่อยจัดการเปลี่ยนยางรถยนต์จากยางอะไหล่ที่มีติดรถเอาไว้ เพื่อจะได้เดินทางกันอย่างปลอดภัย
ดังนั้น เราต้องคอยเตือนตัวเองว่า อุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นอกจากความไม่ประมาทในการขับขี่หรือต่อประกันรถยนต์เป็นประจำทุกปีแล้ว ส่วนที่ความคุ้มครองชั้นประกันเกี่ยวกับการยางระเบิดโดยตรงยังไม่มีนะครับ จะมีก็เป็นประกันชั้น 1 เคลมยางได้ 50% และซื้อความคุ้มครองพิเศษกรณียางรถเกิดเสียหายเอง นอกจากนั้นการมีสติและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจะช่วยคุณได้มากครับ
แล้วที่สำคัญอย่าลืมส่งต่อบทความนี้ให้เพื่อนๆ ของคุณและคนที่คุณรักเพื่อเป็นข้อมูลในการเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุได้นะครับ เพราะFrank อยากให้ทุกคนขับขี่ปลอดภัย เพื่อจะได้สนุกกับการเดินทางตลอดทริปนั่นเอง
แหล่งที่มา : www.tiretruckintertrade.com