สำหรับ frank แล้วเรื่องของนวัตกรรมนั้นเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นเสมอฮะ ทั้งทำให้เรารู้สึกทึ่งในความสามารถในการสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่ทำให้จินตนาการกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ความกล้าของบริษัทที่กล้าจะคิดต่างอย่างสิ้นเชิงจากคู่แข่ง และที่สำคัญสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้นมันเปลี่ยนแนวทางการใช้ชีวิตของเราไปอย่างน่าสนใจซะด้วยนะครับ frank เลยอยากสรุปเรื่องของเจ้าสิ่งที่ว่านี้ว่า อะไรกันบ้างที่น่าเขย่าวงการยานยนต์โลกของเราให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกันอย่างรุนแรง? (เอ่อ ไม่ใช่แผ่นดินไหวนะฮะ)
อีกไม่นานเกินรอที่นอกจากรถยนต์จะขับเคลื่อนอันโนมัติ 100% แล้ว เราอาจจะได้เห็น “รถหุ่นยนต์” เป็นจริงขึ้นมาก็ได้ เพราะนอกจากการใส่ข้อมูลการเดินทางที่เราต้องการแล้ว เรายังจะสามารถให้หุ่นยนต์เลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดให้เราได้ด้วยตัวมันเอง
ซึ่งในขณะนี้มีรถหุ่นยนต์ต้นแบบเกิดขึ้นแล้วนะครับที่ประเทศอังกฤษ โดย Nissan LEAF ที่กำลังทำการวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัย Oxford ได้รวมการทำงานของทั้งเซนเซอร์, เรด้า, ภาพถ่ายทางอากาศ, อินเตอร์เน็ตในขณะเร่งด่วน และรวมการทำงานทางวิศวกรรมและการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อสร้างภาพเสมือนจริง (Robot’s view) ที่ทำให้การระบุตำแหน่งที่แม่นยำที่สุดที่สามารถระบุตำแหน่งรอบข้างได้ด้วยการใช้เลเซอร์ (3D Structure Vision)ในตอนกลางคืน และ Sterio Cameras ถ่ายภาพในตอนกลางวันซึ่งเจ้าเลเซอร์ที่ว่านี้จะติดอยู่รอบคัน โดยไม่ใช้ GPS เพื่อหลีกเลี่ยงความคลาดเคลื่อนของตำแหน่ง ส่วนการควบคุมก็สามารถใช้จากหน้าจอระบบสัมผัส (Touchscreen) ของ iPad ได้เลย และแน่นอนว่าเป็นรถพลังงานไฟฟ้าเพื่อความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและหลีกเลี่ยงการเกิด Carbon Footprint ให้มากที่สุด
ส่วนอีกแบรนด์ที่น่าสนใจก็คือ Mercedes FO15 ที่ผลิตรถต้นแบบภายใต้คอนเซป “luxury in motion” ที่เป็นลูกผสมระหว่างรถหุ่นยนต์กับรถไร้คนขับนั่นเองครับ
นอกจากที่รถยนต์จะกลายร่างเป็นรถหุ่นยนต์แล้ว frank คาดการณ์ว่าเจ้ารถหุ่นยนต์ที่ว่านี้ในอนาคต จะสามารถสื่อสารระหว่างกันเองได้ด้วย กลายเป็นระบบการสื่อสารระหว่างรถหุ่นยนต์ที่เราเรียกว่า V2V Technology กันไป สาเหตุที่ต้องมีการสื่อสารระหว่างกันเป็นร้อยๆ ครั้งต่อวินาทีนั้น ก็เพื่อความแม่นยำในการคาดคะเนการขับขี่ของ software และลดการเกิดอุบัติเหตุให้เหลือ 0 ให้ได้นั่นเอง
ซึ่งบริษัทที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ถึงกับออกรถต้นแบบเพื่อทำการทดสอบอย่างจริงจังก็คือ GM (General Motor) นั่นเองล่ะครับ
ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีที่ป้องกันการชนด้วยการเบรกอัตโนมัติอย่างใน Ford หรือ Volvo การเรียกให้รถมารับเราได้แบบไร้คนขับของ BMW การค้นหารรถยนต์ที่จอดไว้แบบอันโนมัติของ Chrysler หรือการที่รถสามารถจอดในซองจอดรถด้วยตัวเองของของ Mitsubishi นั้น จะเกิดขึ้นจริงแน่ๆ เพียงแค่รอเวลาเท่านั้นเองว่าจะเป็นเมื่อไหร่ที่จะวางตลาด frank ว่าในอนาคตที่เราเดินทางด้วยรถหุ่นยนต์นั้น เราจะทำกิจกรรมอื่นๆ ไปพร้อมๆ กันได้เลย เช่น นั่งประชุมในรถ ดูแลลูกๆ บนรถระหว่างเดินทาง หรือนั่งทำงานที่ใช้ไอเดียแบบเต็มที่ไดยไม่ต้องกังวลใจเรื่องการขับขี่ หรืออาจไปขั้นแอดว้านซ์ด้วยการทำกับข้าวบนรถเลยก็ได้ ส่วนการควบคุมก็แค่ใช้ Smart Controller ที่เหมือนเราใส่สายรัดข้อมือ หรือนาฬิกาแบบชิวๆ กันล่ะครับ
ส่วนในแง่ของการประกันรถยนต์นั้น ปัจจุบันประกันรถยนต์ก็สามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองมาตามใจได้ระดับนึงแล้ว สามารถทดลองเช็คเบี้ยประกันได้นะครับ แล้วถ้าเรายิ่งเข้ายุคหุ่นรถยนต์ออกวางตลาดแล้ว ก็ย่อมจะต้องมีการปรับความคุ้มครองให้เหมาะสมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าเบี้ยประกันภัยที่น่าจะปรับลดลงจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์เรื่องของความน่าจะเป็นของอุบัติเหตุที่น่าจะลดลง หรือแม้แต่แผนความคุ้มครองใหม่ๆ ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตในรถหุ่นยนต์มากขึ้น ถ้า frank ไปสืบทราบข้อมูลมาแล้วล่ะก็ จะรีบมากนะซิบเพื่อนๆ ทันทีเลยล่ะครับ
Credit: http://www.quertime.com/article, https://www.fastcompany.com/3018608/whats-next-for-car-dashboards